Assult Rifle
1. Hk G36
2. Colt AR-15 (M16/M4)
3. AK47
4. Steyr AUG
5. AK74/AK74U
6. Hk XM8
7. Hk G3
8. FA-MAS
9. Tavor T.A.R. 21
Hk G36
เป็น ผืนจาก Heckler & Koch ประเทศเยอรมันครับ ตัวปืนแทบทั้งกระบอกเป็นโพลิเมอเสริมแรงจะมีก็แต่ส่วนที่เป็นชุดระบบยิงที่ เป็นเหล็กรวม บตัวปืนทั้งหมดถูกยึดเข้าไว้ด้วยกันด้วยสลักเพียง3ตัวเท่านั้นจึงง่ายต่อ การถอด-ประกอบ แม็กกาซีนที่เป็นโพลิเมอใสบรรจุ30นัดและยังสามารถเอามาต่อเข้าด้วยกันได้ ด้วยครับ และ ยังมี แม็กกาซีนแบบโรลจุ100นัดด้วยครับ
แบ่งออกเป็นได้3รุ่นคือ G36 G36k G36C ซึ่งไล่ลำดับความยาวลำกล้องลงมาครับ G36จะยาวที่สุด และG36Cจะสั้นที่สุดครับ
น้ำหนักของปืนเบามากครับ มีตั้งแต่ 2.8 3.6 3.6 กิโลครับตามความยาวเลยครับไม่รวมบรรจุลูกกระสุน
ซึ่งลำกล้องที่สั้นจะทำให้ความเร็วปากลำกล้องลดลงตามไปด้วยครับ แต่อัตราลั่นกระสุนก็จะเพิ่มขึ้นแทนครับ
ใช้กระสุนขนาด 5.56x45 Nato แบบเดียวกับปืนไรเฟิ้ลจู่โจมเท่าๆไปครับ
พานท้ายปืนสามารถพับเข้าข้างตัวปืนได้จึงสะดวกแก่การขนย้ายหรือคล่องตัวขึ้นเมื่อเข้าที่แคบครับ
สามารถติดตั้งเครื่องยิงลูกละเบิดAG36ขนาด40มม.ได้ด้วยครับโดยการถอดชุดหน้าออกทั้งขุด
ศูนย์ เล็งมีด้วยกันทั้งหมด3แบบ คือ แบบสโคปกำลังขยาย3เท่า แบบReddotที่ติดอยู่บนหลังสโคป และแบบศูนย์เปิด ที่สะพานศูนย์เป็นรางสามารถใส่ศูนย์เล็งแบบต่างๆได้อีกด้วยครับ
ตัวปืน สามารถทนสภาพสุดขีดของภูมิประเทศต่างๆได้ครับ แม้ว่าปืนจะจมน้ำ จมโคลน จมทราย ก็สามารถเอาขึ้นมายิงต่อได้โดยไม่เกิดการติดขัดครับ จัดเป็นปืนที่เทพเป็นแนวหน้าของโลกเลยครับ ทั้งนี้ปืนตัวนี้ออกมาประจำการแล้ว15ปีแต่เทคโนโลยีก็ไม่ด้วยไปกว่าปืนเกิด ใหม่ไม่กี่ปีนี้เองครับ
AR-15 series (M16 / M4)
ปืนAR-15 เป็นต้นแบบของM16ครับ ซึ่งต่อมาได้ทำปืนไรเฟิลจู่โจมแบบใช้ต่อสู่ระยะประชิด อย่างXM733 และมาเป็นM4ในที่สุดครับ แรกเริ่มเดิมที่M16ถูกใช้ในสงครามเวียดนามครับ แต่ก็แพ้เพราะปืนทำพิษ เอาไว้จะมาเล่าในย่อหน้าต่อไปครับ
เริ่มที่ M16ครับรูปที่1 M16A1รูปที่2 รูปที่3 M16A2 รูปที่4เป็นรูปUpperหรือส่วนบนของปืนครับเป็นUperของM16A3ครับ
ทั้ง หมดต่างกันอย่างไร ในส่วนของM16และM16A1 ต่างกันที่ปุ่มกดด้านหลังช่องคัดปลอกครับ ปุ่มนี้เมื่อกดแล้วแก๊สที่ค้างอยู่ภายในปืนจะระบายออกครับทำไมต้องมีปุ่มอัน นี้ด้วยอะย่อหน้าต่อไปจะบอกให้ฟัง( )ต่อมาM16A2 มีการปรับปรุงรูปลักษณ์จากA1ค่อนข้างมาก ที่เพิ่มมาจะเป้นประกับหน้าที่เปลี่ยนไป กลิ๊บจับมีร่องนิ้วขึ้นมา มีเนินสำหรับกันปลอกกระสุนด้านหลังช่องคัดปลอกเพราะว่าM16และM16A1 ไม่มีตัวนี้ปลอกมันเลยกระเด็นเข้าหน้าคนยิง(ฮา)ศูนย์หลังมีการเปลี่ยนไปให้ สามารถปรับระยะสูงต่ำได้เพื่อระยะปรับไกล้-ไกล ครับ ต่อมาเป็นM16A3 และ M16A4(อ้าวมีA4ด้วยหรอ) ไม่ต่างจากM16A2ครับที่ต่างออกไปคือสามารถถอดหูหิ้วได้เพื้อเอาไว้ติดศูนย์ เล็งReddot หรือ กล้องSniper แต่M16A4 ไม่สามารถยิงออโต้ได้ครับ จะเปลี่ยนจากออโต้เป็น3นัดแทน
(แค่ข้อแต่กต่างนิดหน่อยปาไปกี่บรรทัดแล้ววะเนี้ย)
จาก ย่อหน้าที่แล้วบอกว่าM16เป็น1ในสาเหตุของการแพ้สงครามเวียดนามสินะครับ เหตุผลเพราะว่าปืนตระกูลARเป็นปืนที่อ่อนแอผิวแพ้ง่าย จ้าวสำอาง เนื่องจากระบบขับดันลูกเลื่อนเป็นระบบท่อแก๊สขับลูกเลื่อนโดยตรงถ้ามีฝุ่นฝง ทราย น้ำ โคลน หรืออะไรที่ทำให้สกปรกไปติดอยู่ในนี้มันจะยิงไม่ออก ยิงออกแต่ไม่โหลดกระสุนลูกใหม่ ที่เลวร้ายที่สุดคือUperระเบิดออกมาเลยทีเดียว เมื่อM16จอกับสภาพอากาศแบบในป่าอย่างในเวียดนาม ปืนก็ติดขัดเจอไอ้กงยิงตายแถมพวกไอ้กงมุดรูออกมาตุ๋ยหลังอีกต่างหาก แล้วยังมีอีกเรื่องแก๊สค้างในปืนอีกเป็นสาเหตุให้ปืนขัดลำกล้อง จึงมีการใส่ปุ่มกดคลายแก๊สมาในM16A1นี่เองครับ
จากรูปเป็นระบบแก๊สขับดันลูกเลื่อนโดยตรงครับ ระบบนี้มีแค่ไอ้กันที่คิดมาครับพวกยุโรปโซเวียดไม่ใช้กันครับไม่อดทน
ตระกูล ARใช้ลูกกระสุนขนาด5.56x45mmเป็นปืนรุ่นแรกที่ใช้เลยครับเพราะว่าลูกกระสุน สามารถทำความเร็วได้สูงกว่าลูก 7.62x51mmที่ความเร็วต่ำกว่า ลูก5.56นี่น่าถึงจะหน้าตัดเล็กแต่ความเร็วสูงเข้ารุเล็กออกรูใหญ่มากเพราะ ว่าเกิดจากแรงระเบิดของอากาศจากความเร็วสูงครับ แต่ด้วยที่ขนาดเล็งลงจากเดิมนี่มันทำให้เบาขึ้นเยอะเลยนะ ทหาร1นายจึงแบกลูกได้มากขึ้นกว่าลูก7.62แบบเดิม จากในรูปที่1เป็นแม็ก20นัดครับ จากนั้นไอ้กันมันเห็นAKใส่ได้30นัดแถมลูกก็ใหญ่กว่า เออว่ะกุทำ30นัดมั่งดีกว่า ความแม่นยำของARทุกรุ่น แม่นมากครับเมื่อเทียบกับปืนรุ่นอื่นๆ และระบบศูนย์หลังที่มองผ่านรูกลมๆทำให้เวลาเล็งแล้วเห็นเป้าได้ชัดเจนกว่า ศูนย์หลังร่องบากแบบของเยอรมันและรัสเซีย
ต่อมาก็เอาM16A2มาตัดหน้าให้สั้งลงกลายเป็นXM733 ครับ แล้วก็เปลี่ยนUpperให้เป้นรางแล้วใส่หูหิ้วแบบถอดได้แทนครับกลายเป็นM4นี่เอง
Steyr AUG
ก่อน จะเข้าเรื่องของAUG มารู้จักกับคำว่าBullpupกันก่อนดีกว่าครับ คำๆนี้หมายถึง ปืนที่มีรังเพลิงและชุดลูกเลื่อนอยู่หลังไกปืนครับสังเกตุง่ายๆเลยจะใส่แม็ก กาซีนไว้ด้านหลังด้ามจับครับ ทำให้ลำกล้องยาวมากครับ ลำกล้องจะยาวตลอดตัวปืนจนถึงช่องคัดปลอกทำให้มีความยาวตรงส่วนบนไกปืนด้วย เลยทำให้Bullpupได้เปลี่ยวปืนแบบเก่าในเรื่องความแม่นยำที่มากกว่าในความยาว ตลอดตัวปืนที่เท่ากัน
AUG เองเป็นปืนBullpupที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลกตัวนึงเหมือนกันครับผลิ ดโดยSteyr ประเทศออสเตรีย และด้วยความที่มันเป็นโพลิเมอร์กว่า60%จึงน้ำหนักเบาแต่ก็ไม่เบามากนะครับ 4กิโลกว่าๆ พร้อบบรรจุกระสุนเต็ม แต่ข้อเสียของAUGอยู่ที่ด้านน้ำหนักของมันจะเทไปอยู่ที่พานท้ายปืน ซึ่งทำให้มือข้างที่เหรียวไกปืนเมื่อยได้ง่าย แต่ได้มีการพัฒนาเรื่อยมาจนทำให้น้ำหนักบาลานซ์กัน 50:50 ในรุ่นAUGA3
ด้วย การเป็นBuulpupนี่เองทำให้ลำกล้องของมันยาวได้ถึง509mmกับความยาวโดยรวม เพียง 800กว่าmmเท่านั้นเองทำให้ได้เปลียบเรื่องการคล่องตัวกับปืนแบบเก่า อย่างM16 ที่มีลำกล้องยาวเท่ากันอย่างM16 ที่ยาวถึง1เมตรหรือ1000mm แต่เห็นอย่างงี้AUGเก่ามากเลยนะครับเพราะว่ารุ่นต้นแบบมันถูกสร้างในปี1977 และเป็นAUGแบบทุกวันนี้ในปี1978
ใช้ลูกกระสุนขนาด5.56x45Natoบรรจุใน แม็กกาซีนใส30นัด แถมด้วยการถอดประกอบปืนที่ไม่ต้องใช้สลักไดๆยึไว้เลยแต่หมุนปลดล็อกนิดหน่อย ก็สามารถถอดชุดลำกล้องออกมาเปลี่ยนได้ด้วยความเร็วไม่ถึง1นาที
โหมดการ ยิงของAUGมีด้วยกัน3โหมด แต่ที่พิเศษกว่าปืนทั่วๆไปคือไม่มาสวิตชปรับโหมด มีแค่เซฟกับยิงที่ใช้การเลื่อนซ้ายกว่าเท่านั้น การเลือกยิงของมันอยู่ที่ระยะการลั่นไกครับ คือไกจะมี2จังหวะ ถ้ากดครึ่งไกจะยิงเซมิ ถ้าเหนี่ยวไกจนสุดจะยิงออโต้
ทำให้สามารถเลือกยิง ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียสมาธิไปปรับโหมด บางคนสงสัยว่าถ้าเหนี่ยวแรงเกินไปหละมันไม่ลั่นออโต้หรอ คำตอบคือไม่ครับ ครึ่งไกเวมินั้นมีน้ำหนักไกที่เบากว่าออโต้ครับคือเราเหนี่ยวไปแล้วมันจะไป ยุดอยู่ครื่องไกเองแล้วต้องออกแรงเพิ่มอีกนิดหน่ยถึงจะเข้าโหมดออโตครับ
AUGแบ่ง เป็ยรุ่นหลักๆได้3รุ่นคือ A1 A2 A3 ซึ่งA1-2แตกต่างกันเพียงแค่ A1มีสโคปที่เป็นหูหิ้วมาให้ในตัวทำให้สามารถยิงได้จากระยะไกลกว่าข้าศึกได้ แต่ข้อเสียของมันก็คือ มันเล็งได้ช้ามากเพราะรูสโคปค่อนข้างเล็กต้องเอาตาอยู่ห่างในระยะโฟกัสของ มันทำให้สู่ระยะประชิดลำบากจึงมีการพัฒนารุ่นA2ออกมาที่เป็นรางสำหรับใส่ ศูนย์เปิดหรือศูนย์เล็งReddotได้ทำให้ข้อเสียเปลียบเรื่องระยะในดารยิงไกล้ห ายไป และสุดท้ายรุ่นA3 มีการใส่รางทั้งชุดหน้าเพื่อใส่อุปกรณ์ต่างๆอย่างเช่นไฟฉาย เลเซอร์ ขาทรายได้อีกด้วย พร้อมทั้ง bolt carrier หรือตัวแขวนลูกเลื่อนเวลาลูกกระสุนหมดลูกเลื่อนจะค้างเพื่อเวลาใส่แม็กกาซีน ใหม่จะได้ไม่ต้องดึงคันรั้งเหมือนในเกมที่เคยๆเล่นกวันมา แค่กดปุ่มที่อยู่ด้วนข้างตัวปืนเท่านั้น(ระบบนี้มีมานานแล้วตั้งแต่สมัย M16แล้วครับ)
Hk XM8
http://upic.me/i/xc/xm8_compact_0.jpg
http://upic.me/i/mq/xm8_carbine20040616.jpg
http://upic.me/i/c5/xm8poster.jpg
หลังจากที่กดดูรูปแล้วรู้สึกยังไงครับแบบนี้หรือปล่าว http://upic.me/i/sx/122_fff1a3c.jpg หลังจากดูภาพทางซ้ายนี้แล้วคงเกิดคำถามว่า ปืนก็อบG36หรือปล่าว อะไรแบบนี้สินะครับ คำตอบคือไม่ใช่ มันเป็นปืนที่เอาG36มาปรับปรุงครับซึ่งหลังจากทำออกมาแล้ว เหมือนเดิมแค่เบาลงราวๆ2ขีดเท่านั้นเอง การใช้งานไม่ต่างกัน G36ยังดีกว่าอีก
XM8 เป็นโครงการปืนไรเฟิลจู่โจมแห่งอนาคตของบ.Hkประเทศสหรัฐอเมริกา(บ.แม่อยูที่ เยอรมันไม่ทำXM8นะครับ) ที่ต้องการความเบาแบบสุดๆ และรูปทรงล้ำสมัย ถูกคิดค้นในปี2002 โดยความร่วมมือกันของหลายฝ่ายรวมถึงHkเยอรมันด้วยเพื้อมาแทนM16/M4ที่ประจำ การอยู่เดิม และได้ผลิตอย่างจริงจังในปี2005 แต่ก็ได้ถูกยกเลิกโครงการอย่างกระทันหันเพราะสาเหตุอะไรผมก็ไม่ทราบแน่ชัด บทความหลายบทความที่เคยๆอ่าน บอกไว้ราวๆว่าเพราะการดำเนินการที่ช้าเลยถูกยกเลิกไป ผมว่าเพราะทหารไอ้กันไม่ชอบด้วยหละให้ความรู้สึกว่าสู้M16/M4ได้(ในความคิด ผมนะ)
XM8ใช้กระสุนขนาด5.56x45Nato บรรจุอยู่ในแม็กกาซีนโพลิเมอร์ใสขนาด30นัดของG36หรือแม้กระทั่งแม็ก100นัด ของG36 มีระบบขับดันลูกเลื่อนด้วยลูกสูบของG36 ลำกล้องมีความยาวต่างๆกันดูได้จากในรูป ซึ่งใช้ของG36 ระบบลูกเลื่อนก็เป็นของG36
เฮ้ยแมร่งมีอะไรเป็นของตัวเองมั่งเนี้ย คำตอบก็คือ บอดี้ของมันXM87มีบอดี้ที่เบากว่าของG36ราวๆ2ขีด ศูนย์เล็งเป็นแบบReddotมีเลเซอร์ชี้เป้าในตัว และยังสามารถ เปลี่ยนไปใส่รางสำหรับติดศูนย์เล็งReddotแบบอื่นได้อีกด้วยรวมทั้งศูนย์เปิด ที่ใช้ระบบเดียวกับG36ด้วย พานท้ายของXM8 ไม่สามารถพับได้ แต่สามารถปรับระยะยืดหดได้ และที่ผมเห็นว่าXM8เสียเปรียบG36อย่างใหญ่หลวงคืออสีของบอดี้ XM8มีบอดี้ที่เป็นสีเช่นนี้ทำให้รู้สึกว่าลดความน่ากลัวของปืนลงไปด้วยรวม ถึงโดดเด่นมากเวลาซ่อนพลางไม่เหมือนของG36 ที่เป็นโพลิเมอร์สีดำด้านไม่สะท้อนแสงจึงได้เปลียบกว่าเวลาซ่อนพลางโดยไม่มี การพลางสีปืน แต่โดยรวมแล้วไม่ต่างกัน ซึ่งหลังจากที่ยกเลิกโครงการไปแล้วก็ไม่นำมาผลิตต่อเพราะในเยอรมันเองใช้ G36ดีกว่า เราจึงไค่อยได้รู้จักXM8
Hk G3
Hk G3 จากเยอรมันเป็น1ในปืนที่เก่าแก่มากอีกตัวนึงของโลกด้วยอายุตอนนี้ก็ปาเข้าไป 50กว่าปีแล้ว และตอนนี้ก็เลิกผลิตไปแล้วตั้งแต่ปี2007 G3เป็นBattle Rifle ซ่งแต่ต่างจากAssultRifleคือขนาดกระสุนที่จะใช้7.62Nato และมีความแม่นยำในระดับSniper จึงได้ชื้อนี้มานี่เอง G3เอาแนวคิดนี้มาจากปืนFN FALของเบลเยี่ยมซึ่งสามารถยิงฟูลออโต้ได้ ในปี1956 Hkซื้อลิขสิทธิ์จากFNในการผลิตกลไกฟูลออโต้และได้นำปืนCETME mod.oที่หยุดผลิตในปี1945(เจ๊งนั้นหละ) มาพัฒนาต่อยอดออกไป จนกลายมาเป็น G3นี่เองครับ
CETME mod.o ครับ เรียงตั้งแต่รุ่นA B C ตามลำดับ
Hk G3 ใช้กระสุนขนาด7.62x51Nato บรรจุในแม็กกาซีนขนาด20นัด แต่เนื่องด้วยความยาวลำกล้อง450mm และลูกกระสุนขนาด7.62ที่ทำความเร็วได้ 700ปลายๆ ทำให้G3เป็นปืนที่ลั่นกระสุนช้าซักหน่อย แต่ก็ไม่มีใครเค้ายิงกันหรอกครับ หงายหลังกันหมด ไม่หงายหลังก็เปลืองกระสุนเพราะไม่เข้าเป้า
ข้อ แต่กต่างระหว่าง G3 และ CETME mod.oC คือประกับหน้าที่เป็นโลหะกลวงละบายความร้อยได้ง่าย และสามารถยิงฟูลออโต้ได้ และพัฒนาเป็นรุ่นA2ที่เปลี่ยนศูนย์หลังเป็นแบบหมุนปรับได้เป็นวงกลม ดูในรูปเอาครับ ส่วนA2 A3 ต่างกันแค่ไหนผมก็ไม่ทราบเช่นกันครับ เพราะว่าข้อมูลของA2นั้นน้อยมากๆเลยครับแทบจะไม่มีเลย ส่วนG3A4 ก็ใส่พานท้ายแบบชักยืดหด และG3A5 ใส้รีซีฟเวอล่างเป็นโพลิเมอร์ ยังมีA6 A7 อีกนะครับแต่เป็นชื่อที่ อิหร่าน และตรุกีซื้อลิขสิทธิ์มาผลิต ส่วนG3ที่ปลายลำกล้องสั้นนั้นคือG3KA4 ครับในซึ่งในตอนนั้นเรื่มมีการผลิตG3Kออกมาครับ
และยังมีปืนCustomที่ ไม่ใช่บ.Hkผลิตด้วยนะครับใช้ชื่อHk51 ซึ่งลำกล้องสั้น โดยเอาประกับหน้าของMP5มาใส่เพื่อต้องการพลังทำลายที่สูงระดับ7.62แต่ใช้งาน ในที่แคบ หรือการต่อสู้ระยะไกล้
ที่ได้ชื่อ51เพราะว่าเอาHk53ที่เป็นตัว สั้นของHk33 มาใช้ และHk21ซึ่งใช้ลูก7.62(Hk23ใช้5.56) รายระเอียดของปืน4รุ่นที่ว่ามาจะเอามาลงให้ทีหลังครับ
*Hk51(บน)เทียบกับHk53(ล่าง)
Hk51Bที่ใช้ชุดป้อนกระสุนแบบสายของHk21
นี่ก็เป็น1ในปืนCustomชื่อHk51K ที่ได้ชื่อมาจากMP5k นี่เอง
AK47
ขอนำก่อนเลยครับว่าปืนAKหรือชื่อย่อของ Avtomat Kalashnikov ที่มีความหมายว่า คาราชนิคอฟแบบออโตเมติก
หรืออาก้าที่เรียกๆกันนี้ มีมากมายหลายรุ่นครับมากเลยครับ
จะเริ่มยกมาตั้งแต่รุ่น AK47เลยแล้วกันครับ
AKรุ่นนี้ เข้าประจำการในโซเวียตเมื่อปี1947 โดนผู้ออกแบบคือนาย Kalashnikov ทหารในกองทัพโซเวียตแต่ว่าจริงๆแล้วAK47
ไม่ ใช่ปืนรุ่นแรกที่Kalashnikovออกแบบครับ คือรุ่นAK46 แต่ในปีถัดมาได้พัฒนาสรุ่น47ในปีต่อมา AK46จึงได้หายๆไปเพราะจำนวนที่ผลิตยังไม่มาก ต้นแบบระบบของAK ได้รับมาจากเยอรมัน โดนปืนต้นแบบคือ MP44 ที่เป็นปืนระบบขับดันลูกเลื่อนด้วยลูกสูบ (ปืนสัญชาติรัซเซียก่อนAK46ก็มีครับใช้ระบบลูกสูบเหมือนกันแต่Kalashnikov ไม่ได้เป็นผู้ออกแบบ)
ระบบขับดันลูกเลื่อนด้วยลูกสูบเป็นระบบที่ดีและมี ประสิทธิภาพมากที่สุดครับ เพราะแก๊สที่เกิดจากการระเบิดของดินขับจะดันลูกสูบที่ต่อกับลูกเลื่อนโดยตรง ทำให้ไม่เกิดการอุดตันของฝุ่นได้ง่ายเหมือนปืนระบบAR ที่แค่ท่อนำแก๊สงอนิดหน่อยแรงดันก็ไม่พอจะดันลูกเลื่อนแล้วครับ จึงไม่กลัวติดขัดเมื่อจมน้ำจมโคลน จมทราย อากาศหนาว หรือปืนไฟไหม้ก็ยิงได้ครับ
และด้วยบอดี้ที่เป็นเหล็กล้วนๆทำให้แข็งแรง มากครับ ซึ่งเป็นแนวคิดของนายKalashnikovว่าจะทำปืนที่ทนทานไม่ติดขัด เพราะว่าโซเวียตนั้นอากาศหนาวปืนจึงเกิดการขัดลำกล้องได้ง่าย แต่ก็แลกมากับความหนักโคตรๆของมันถึงเกือบ5กิโลเมื่อบรรจุลูกกระสุน ปืนAK47ถูกผลิตขึ้นมาจำนวนมากมากพอจะผู้ก่อการร้ายทั่วโลกใช้กันเลยหละ ด้วยที่เป็นปืนที่ทนต่อสภาพอากาศสุดขีดของสถานที่ต่างๆได้ไม่ว่าจะ ป่าดงดิบ ทะเลทราย หรือแถวทะเลย
ลูกกระสุนขนาด7.62x39 สร้างแรงปะทะที่สูงมากสามารถหยุดยั้งเป้าหมายได้ทันทีที่โดนยิง แต่ด้วยแรงถีบที่สูงมากจากแรงระบิดของดินขับและระบบรับแรงถอยที่ซับแรงถอย ได้ไม่มากจึงทำให้ปืนสบัดขึ้นอย่างรุนแรงเลยทีเดียว ความแรงที่มากจึงมาพร้อมกับแรงสะบัดที่มากเช่นกัน ระบบศูนย์แบบศูนย์หลังร่องบากที่รับมาจากเยอรมันทำให้วิศัยทัศน์การมองไม่ สู้ดีนักเหมือนกับระบบศูนย์หลังรูแบบของอเมริกา ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดนี้จึงทำให้ความแม่นยำในการยิงนัดต่อไปนั้นนั้นไม่สู้ ดีนัก
ลูกกระสุนบรรจุอยู่ในแม็กกาซีนจุ30นัด แต่ก๋มีแบบจุ40นัด และแม็กกาซีนแบบตลับจุ75นัดอีกด้วย
ยัง มีรุ่นAK47-s ที่พานท้ายเป็นแบบพับเข้าด้านล่างจึงไม่เกะกะเวลาพับพานท้าย(ต้นแบบพานท้ส ยแบบนี้มาจากเยอรมันเหมือนกันคือMP40) แต่พานท้ายแบบไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าที่ควรด้วย
และพัฒนามาเป็นAKM AKMS ที่เปลี่ยนกลิ๊บจับเป็นโพลิเมอร์ เพิ่มmuzzle compensatorเพื่อลดการสะบัดของปืน และเพิ่มรางด้านข้าง ไว้เพิ่อสำหรับติดตั้งศูนย์เล็งแบบต่างๆ ออกแบบแม็กกาซีนใหม่ที่เป็นโพลิเมอร์ลดน้ำหนักลงอีกด้วย
AK74 /AK74U
avtomat Kalashnikov รุ่นต่อมาหลังจากที่AK47ประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่เนื่องด้วยลูก7.62x39แบบเดิมมีความเร็วปากลำกล้องที่ต่ำ ถึงแรงปะทะจะสูงบาดแผลที่เกิดจากAK47นี่เป็นเหมือนรูใหญ่ๆที่มีขนาดรูเข้า -ออกเท่าๆกัน หรือว่าอาจจะไม่ออกมาก็เป็นได้ เพราะนอกจากลูกจะใหญ่แล้วยังความเร็วต่ำอีกต่างหากทำให้ศูนย์เสียคงามเร็ว ได้ง่ายไม่เหมือน7.62Nato ที่มีปริมาณดินขับที่มากกว่า ประกอบกับตอนนั้นอเมริกาได้ทำM16ออกมาใช้ด้วยลูก5.56ที่ทำความเร็วได้สูง มากๆ ทำให้บาดแผลที่โดนยิงเข้าไปรูนิดเดียวแต่ด้วยแรงระเบิดของโซนิกบูมทำให้รู ที่ออกมานั้นใหญ่น่าดูทำให้มีโอกาศโดนจุดสำคัญมากกว่า และด้วยความเร็วที่สูงทำให้ลูกเข้าเป้าได้เร็ว อีกด้วย คลาวนี้โซเวียตไม่ยอมมั่งแล้ว เอาให้ลูกเล็กกว่าปลายแหลมกว่า จึงได้ถือกำเนิดลูกกระสุนขนาด5.45x39 ขึ้นมา ด้วยความเร็วที่ไม่ต่างกันกับ ลูก5.56ของอเมริกา แต่ด้วยความเล็กแหลมของมัน ทำให้มันเจาะเข้าไปในตัวเป้าหมายได้ง่ายกว่า ศูนย์เสียความเร็วน้อยกว่า นั้นเอง
AK74 เริ่มพัฒนาในราวๆปี1960ซึ่งเป็นยุคของM16นั้นเอง และปืนต้นแบบมาสำเร็จเอาในปื1970(ในรูปแรก) และลงตัวในปี1974จึงกลายมาเป็นที่มาของAK74นั้นเอง(เหมือนกับAK47 ทำเอามึนๆเหมือนกันครับตอนแรกๆว่ามันชื่ออะไรกันแน่ 47-74 โอยงง)
แต่ด้วยระบบที่ยังเหมือนกับAK47ทำให้ความทนทานยังคงเดิม
มี รุ่นที่ใส่พานท้ายแบบพับได้อีกด้วยในชื่อAK47S และเปลี่ยนมาใช้ประกับ-พานท้ายเป็นโพลิเมอร์ในชื่อAK74Mเพราะว่าผลิต ง่ายกว่าเอาไม้มาเหลา ปากลำกล้องติดตั้งMuzzle Breakเอาไว้เพราะว่าลูก5.45เล็กและเบาเกินไปจึงทำให้โดนมวนของแก๊สแล้วเสีย ทิศทางที่ควรจะเป็นได้ง่ายอีกด้วย แม็กกาซีนทำจากโพลิเมอร์อีกเช่นกันบรรจุ30นัด
และต่อมาได้พัฒนาAK74ให้สั้นลงเพื่อความคล่องตัวในการเข้าตู่สู้ระยะประชิด หรือในที่แคบอย่างในตึกอีกด้วย
จึงได้ถือกำเนิดAK74U หลังจากAK74 6ปี(1980) โดยใส่พานท้ายแบบก้านเหล็กพับได้เท่านั้นเพื่อความเบาและคล่องตัว
ปาก ลำกล้องทำให้บานแบบปากแตรเพื่อกระจายมวลของแก๊สออกไปรอบทาง ส่วนทำไมไม่ติดMuzzle breakแบบเดิมอันนี้ผมก็ไม่ทราบครับคงเพราะง่ายต่อการติดเก็บเสียงกระมัง
อัน นี้เครื่องยิงลูกระเบิดแบบจุดชนวนด้วยกระสุนปืน ชื่อBS-1 Tishina ซึ่งเมื่อยิงลูกระเบิดออกไปแล้วยังใช้เป็นอาวุธรองในจังหวะที่กระสุนหลังหมด ในเวลาคับขัดได้อีกด้วย
FA-MAS
FAMAS ปืนไรเฟิ่ลจู่โจมBullpup จากฝรั่งเศษ โดย St-Etienne Arms Factory เป็นไรเฟิลจู่โจมBullpup Rifleรุ่นแรกของโลกเลยครับ ครั้งแรกที่มันออกมา ทำให้วงการทหารตกใจกันยกใหญ่ นี่มันปืนอะไรนี่ใส่แม็กไว้ด้านหลัง ไกปืน แต่ประสิธิภาพนั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าM16 เลย ด้วยความเป็นBulpupนี่เอง ทำให้ได้เปลียบ M16 มากทีเดียว
FAMASเริ่มโครงการในปี67 และสำเจ็จเป็นปืนต้นแบบในปี 72 ในปี78ได้เข้าประจำการแทนSIG-540 ที่ประกำการอยู่เดิม ในชื่อFA-MAS F1(รูปแรก)
FAMAS ใช้ลูกกระสุนขนาด5.56x45Nato ขับดันลูกเลื่อนด้วยระบบลูกสูบ ความยาวลำกล้องในรุ่นมาตฐานคือ 488มิลลิเมตร ตัวปืนยาวรวม 757 มิลลิเมตร น้ำหนักก็ไม่มากราวๆ 3.7กิโลกรัมโดยไม่ใส่แม็กกาซีน ความเร็วปากลำกล้องทำได้พอๆกับM16เลยทีเดียว และอัตราการลั่นกระสุนสูงถึง 900-1100นัดต่อนาทีเลย
FAMAS มีโหมดการยิงถึง4โหมด คือ เซฟ เซมิออโต้ 3นัดเบริส และฟูลออโต้ ตัวปรับโหมตการยิงอยู่ข้างหลังช่องใส่แม็ก ทำให้ยากต่อการบริหารซักหน่อย แต่FAMASก็มีเซฟอีกชั้นที่หน้าไกปืน โดยเราสามารถเข้าโหมดการยิงไว้ได้ก่อนและใช้เซฟห้าไกนี่ช่วยเพื่อลดความไม่ สะดวกในการปรับโหมด
เนื่องจากFAMASเป็นปืนที่ลำกล้องค่อนข้างยาวประกอบกับมีพื้นที่เหลือเฟือ(ละมั้ง ) จึงได้มีการติดตั้งขาทรายไว้ในFAMASแทบทุกรุ่น เพิ่อใช้ในการหมอบยิงเพิ่มความแม่นยำนี่เอง
FAMAS F1 ใช้แม็กกาซีนเฉพาะตัวบรรจุ25นัด และได้เปลี่ยนไปใช้แม็กแบบM16 ในรุ่นG2 และเปลี่ยน กลิ๊บจับ และแฮนการ์ด รวมถึงโกร่งไกใหม่ด้วย ดูเอาจากในภาพนะครับ และพัฒนาอะไรหลายๆอย่างทำให้ในรุ่นG2มีพิศักทำการมากกว่าF1 ราวๆ150เมตร(เดิมราวๆ300เมตร) และได้มีการพัฒนาเป็นรุ่นต่างๆ โดยมีความยาวลำกล้องต่างๆออกไป
Tarvor T.A.R. 21
Tar21 ปืนไรเฟิลbullpup ตัวแรกของ อิสราเอลจากบ.IWI (Israeli Weapons Industries Ltd แต่ก่อนคือ IMI Israel Military Industries แต่ตอนนี้แปลรูปเป็ยบ.เลยเปลี่ยนชื่อ) ปืนดีไซด์อวกาศตัวนี้ ออกแบบในช่วงปี1991-2001 และผลิตในปี 2001นั้นเลย โดยเข้าร่วมสงครามเลบานอน จนถึงตอนนี้ ไทยเองก็ได้ซื้อTar21นี่เข้าประจำการเหมือนกันในชื่อ ปลย.50(เข้าประจำการปี2550) โดยเข้าประจำการในกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 รอ.) โดยชื่อ tar21 นี้ย่อมาจาก Tavor Assault Rifle - 21st Century หรือ ปืนไรเฟิลจู่โจม Tarvor แห่ง ศตวรรศที่21 คนไทยได้รู้จักปืนตัวนี้ได้ทางข่าวทีวีในเหตุการความไม่สงบที่ผ่านมานี้เอง
Tar21 ใช้กระสุนขนาด5.56x45Nato บรรจุในแม็กกาซีน30นัดของM16/M4 เพื่อความเป็นสากลและหาแม็กกาซีนง่าย ขับดันลูกเลื่อนด้วยระบบสูบสูบ ทำให้มันไม่ติดขัดในสภาวะต่างๆ ตัวปืนทำจากโพลิเมอร์น้ำหนักเบา เห็นท้ายมันใหญ่ๆยังงั้นแต่เบานะจะบอกให้ โดยน้ำหนักอยู่ที่ราวๆ 3.1-3.6กก.เท่านั้นเอง(ไม่รวมแม็กกาซีน) อัตราการลั่นกระสุนอยู่ที่ราวๆ800-900นัดต่อนาที โหมดการยิงมีทั้งหมด4โหมดคือ เซฟ 1นัด 3นัด และออโต้ และยังสามารถติดตั้งเครื่องยิงลูกระเบิดแบบM203ได้อีกด้วย
Tar21 แบ่งออกเป็นหลายรุ่นเลยเลยหละเริ่มด้วยรุ่นธรรมดา(ภาพแรก) เป็นรุ่นที่ไทยนำเข้ามาประจำการนี่เอง ความยาวลำกล้อง460mmกับความยาวโดบรวม720mm ความแม่นยำของมันสูงพอๆกับปืนM16เลยทำเดียว มาพร้อมกับศูนย์เล็งแบบReddot และศูนย์เปิดที่สามารถพับได้ หรือถอดออกก็ได้ และรุ่นนี้ยังมีcustomนิดหน่อยจากTar21เดิมๆ และขายในภาพที่3ชื่อรุ่น S-Tar21(Sniper) โดยจะติดตั้งขาทรายทรงHarisมาให้ และสโคปแบบACOGกำลังขนาย4เท่าให้แทน และรุ่นCustomนิดหน่อยรุ่นต่อมาภาพที่4คือ C-Tar21(Cabine) รุ่นนี้จะมีลำกล้องที่สุ้นกว่าTar21เดิม คือยาว380mmเท่านั้นเอง(แต่ก็ยังยาวกว่าM4 อยู่ดี) มาพร้อมกับศูนย์เล็งReddotแบบมีเลเซอร์ในตัวด้วย และมีรุ้นที่ทำใหม่ทั้งหมด แต่ใส้ในยังเดิมๆคือรุ่น M-Tar21 (Micro) ที่ขนาดของบอดี้เล็กลงไปมากทีเดียวเปลี่ยนตำแหน่งคันชักลูกเลื่อนใหม่ด้วย ลำกล้องยาว330mm(พอๆกับM4)ความยาวรวม 590mm มันจึงเป็นปืนCompactที่ลำกล้องยาว น้ำหนักเบา คล่องตัวที่สุดตัวนึงเลยก็ว่าได้ และเบาเพียง2.9กกเท่านั้นเอง และรุ่นสุดท้ายคือรุ่น Tc 21 หรือ รุ่นสำหรับพลเรือนนี่เอง สามารถยิงได้แค่เซมิออโต้เท่านั้นเอง รูปร่างจะคล้ายกับM-Tar21แต่ก็ไม่เหมือนซะทีเดียว แม็กกาซีนก็ใช้แบบเฉพาะตัวด้วย ความยาวลำกล้อง460mm
M-Tar21
Tc 21
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น