วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

The Most Sniper

http://www.thaifighterclub.org/images/answer/A7840309090542131.jpg
http://www.thaifighterclub.org/images/answer/A7840609090544348.jpg
สไนเปอร์ ไทย
http://statics.atcloud.com/files/comments/48/482033/images/1_display.jpg
สไนเปอร์ โรมาเนีย
http://statics.atcloud.com/files/comments/48/482034/images/1_display.jpg
สไนเปอร์ยูเครน
http://statics.atcloud.com/files/comments/48/482040/images/1_display.jpg
โฉมหน้าหน่วยสังหารจากอังกฤษ SAS
http://statics.atcloud.com/files/comments/48/482042/images/1_display.jpg
สไนเปอร์รัสเซีย
http://statics.atcloud.com/files/comments/48/482043/images/1_display.jpg
สไนเปอร์อินเดีย
http://statics.atcloud.com/files/comments/48/482045/images/1_display.jpg
สไนเปอร์เกาหลี
http://statics.atcloud.com/files/comments/48/482046/images/1_display.jpg
ชายแดนอิรัก
http://statics.atcloud.com/files/comments/48/482065/images/1_display.jpg
สไนเปอร์รุ่นบุกเบิก
http://statics.atcloud.com/files/comments/48/482091/images/1_display.jpg
สไนเปอร์จากฟินแลนด์
http://statics.atcloud.com/files/comments/48/482103/images/1_display.jpg
สไนเปอร์สวิตเซอแลนด์
http://statics.atcloud.com/files/comments/48/482105/images/1_display.jpg
http://statics.atcloud.com/files/comments/48/482117/images/1_display.jpg
สไนเปอร์เยอรมัน
http://statics.atcloud.com/files/comments/48/482281/images/1_display.jpg
http://statics.atcloud.com/files/comments/48/482297/images/1_display.jpg
วาซิลี ไซเซพ อยู่เกินอันดับ 10 แถม sniper รัสเซีย สงครามเชชเนีย

สไนเปอร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก (อันดับ1ของโลก)

"ไซโม ฮายาซ สไนเปอร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก"
http://img1.showpic.in.th/pic/2ea/2ea4812d1923da618aabf74bdcecb3cb.jpg
ไซโม ฮายาซระหว่างสงครามฤดูหนาว
http://img1.showpic.in.th/pic/cef/cefbe30775973fd1c12f943715977f5a.jpg
ฮายาซกับชุดพรางสีขาวที่ทำให้กลมกลืนกับ ภูมิประเทศที่มีแต่หิมะเป็นอย่างมาก

ไซโม ฮายาซ (17 ธันวาคม 1905-1 เมษายน 2002) ได้รับฉายาจากกองทัพโซเวียตว่า "White Death"=ไวท์ เดธ) เรียกเป็นภาษาไทยได้อย่างเท่ๆว่า "ความตายสีขาว" (ในภาษารัสเซียเรียกว่า Belaya Smert=เบลาย่า สเมิร์ท,ภาษาฟินแลนด์เรียกว่า Valkoinen kuolema=วาลคอยเน็น คูโอเลม่า) เขาเป็นทหารฟินแลนด์ที่ในปัจจุบันยังถกเถียงกันว่าเขาคือพลซุ่มยิงที่ยิ่ง ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ใช่หรือไม่?

ฮายาซเกิดในเขตเทศบาลเลาซ์จา ไว(municipality of Rautjarvi) ซึ่งปัจจุบันเป็นชายแดนของรัสเซียไปแล้ว เขาได้เข้าเป็นทหารในกองทัพเมื่อปี 1925 โดยก่อนหน้านี้เขามีอาชีพเป็นชาวนาหรือเกษตรกร เมื่อสงครามฤดูหนาว(Winter War) ซึ่งเกิดขึ้นจากรัสเซียได้ทำการรุกรานฟินแลนด์ตั้งแต่ปี1939-1940 เริ่มขึ้น เขาก็ได้รับหน้าที่ให้เป็นพลซุ่มยิงเพื่อสังหารทหารกองทัพแดง ในภูมิประเทศที่มีอุณหภูมิหนาวตั้งแต่ -20 ถึง-40องศาเซลเซียล (วัดเป็นองศาฟาเรนไฮต์ก็จะอยู่ที่ระหว่าง -4ถึง-40องศา) โดยฮายาซใส่ชุดพรางหิมะสีขาว เขามียอดสังหารทหารโซเวียตที่ได้รับการยืนยันถึง 542ศพ!

http://img1.showpic.in.th/pic/be6/be659fa9b8796cfa9578eff7d3fbda29.jpg
ปืนยาวโมซินนากังค์ เอ็ม28 เมคอินฟินแลนด์กระบอกนี้แหละครับที่เป็นอาวุธซุ่มยิงของฮายาซ

สถิตินี้มาจากกองทัพฟินแลนด์จากสนามรบที่โคลา (battlefield of Kollaa)ซึ่งเป็นสถานที่ฮายาซสามารถสังหารข้าศึกได้เป็นจำนวนมากถึง 542ศพ จากสมุดบันทึกที่โคลาได้กล่าวไว้ว่า "ฮายาซใช้ปืนยาวเอ็ม 28 (Finnish Mosin nagant M28 rifle) ซึ่งเป็นปืนที่ฟินแลนด์ลอกแบบมาจากปืนยาวแบบโมซินนากังค์ของรัสเซีย (Soviet Mosin nagant rifle) รู้จักกันในหมู่ทหารฟินแลนด์ว่า ปืนยาว"พีสตี้คอร์ว่า"("Pystykorva") ซึ่งหมายถึงสุนัขพันธ์สปิทส์(spitz) ฮายาซเป็นคนที่มีรูปร่างเล็กคือมีความสูง 5ฟุต3นิ้ว(1.60เมตร ฝรั่งเขาถือว่าเตื้ยนะ) เขาชอบใช้ศูนย์เล็งเหล็กมาตรฐานของปืน(iron sights) สำหรับยิงเป้าขนาดเล็ก(smaller target) มากกว่าศูนย์แบบกล้องเล็ง(telescopic sights) สาเหตุมาจากเวลาเขาจะใช้กล้องเล็งจะต้องยกศรีษะสูงขึ้น และเขายังบอกว่าการใช้ศูนย์เล็งแบบเปิดนี้จะช่วยปกปิดที่ตั้งของตนเองได้ดี กว่าศูนย์แบบกล้องเล็ง (แสงอาทิตย์ที่ส่องใส่เลนส์ของศูนย์กล้องจะสะท้อนแสงทำให้ถูกพบที่ตั้งของพล ซุ่มยิงได้)

นอกจากเขาจะใช้ปืนยาวในการซุ่มยิงศัตรูแล้ว ฮายาซยังใช้ปืนกลมือซูโอมิ เอ็ม31อันโด่งดังของฟินแลนด์ยิงสังหารทหารรัสเซียไปเป็นจำนวนมากถึงสองร้อย กว่าศพ! ทำให้ยอดสังหารข้าศึกของเขาเพิ่มเป็นถึง 705ศพ!(ยิ่ง เทพเข้าไปใหญ่คนรึเปล่าเนี่ย?) หลังจากทำหน้าที่ในสนามรบมาเป็นเวลากว่า100วัน เขาก็ถูกกระสุนปืนใส่บาดเจ็บ เฉลี่ยแล้วในวันๆหนึ่งเขาจะสังหารศัตรูไป 5ศพ ส่วนใหญ่ฮายาซจะซุ่มยิงตอนกลางวันในฤดูหนาวแทบจะทุกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกกว่าพลซุ่มยิงคนอื่นๆของโลก

http://img1.showpic.in.th/pic/108/108f29642a5fa79f32fb5f55970e3f95.jpg
อาวุธคู่กายของฮายาซบนคือปืนกลซูโอมิเพชรฆาต 200ศพ ล่างคือปืนยาวเอ็ม28เพชรฆาต 542ศพ

ก่อนที่ฮายาซจะได้รับบาดเจ็บฝ่ายรัสเซียมีแผนที่จะกำจัดเขาให้ได้ ด้วยการใช้พลซุ่มยิง เรียกว่าพลซุ่มยิงก็ต้องจัดการด้วยพลซุ่มยิง(counter snipers=เคาน์เตอร์สไตรค์ เอ้ย! เคาน์เตอร์ สไนเปอร์)เรียกแบบไทยก็คือเพขรตัดเพชรหรือตาต่อต่าฟันต่อฟัน หรืออีกวิธีที่ขี้ขลาดหน่อยก็คือใช้ปืนใหญ่ยิงถล่ม(artillery strikes=อาร์ทิเลอะลี่ สไตรค์) โดยปืนใหญ่รัสเซียชอบใช้กระสุนปืนใหญ่แบบแตกกลางอากาศ(shrapnel=ชรัปเนล) ที่จะระเบิดกลางอากาศแล้วปล่อยลูกเหล็กกลมก้อนเล็กๆพุ่งลงมาเป็นสายฝน โดยโซเวียตน่าจะส่งทหารมาล่อให้ฮายาซยิงเพื่อที่จะได้ทราบตำแหน่งของเขาแล้ว จัดการยิงปืนใหญ่ถล่มใส่ซะ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถเก็บฮายาซได้ แถมเขาก็ไม่เคยโดนกระสุนแบบนี้เลยเรียกว่าไร้รอยแมวข่วน(เทพอีกละ) ส่วนสไนเปอร์ที่ส่งมาเก็บเขาก็ถูกฮายาซเก็บซะเอง

http://img1.showpic.in.th/pic/cd1/cd16444ed38e7b1d2165cfb12a96dcc7.jpg
กระสุนปืนใหญ่แบบชนัปเน็ลสังเกตลูกเหล็กกลมเล็กๆ ในกระสุน

พอถึงวันที่ 6 มีนาคม ปี1940 ฮายาซก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บอีกคราวนี้โดนยิงที่ขากรรไกร(jaw=จอ ถ้าคิดไม่ออกว่าตรงไหนก็ให้คิดถึงหนังเรื่องจอ 4ไว้นะครับ) ระหว่างการต่อสู้ในระยะใกล้(close combat) กระสุนพุ่งเข้าไปในหัวด้านซ้ายของเขา ฮายาซถูกหามออกจากสนามรบโดยทหารที่หามเขากล่าวว่า "หัวของเขาหายไปครึ่งหนึ่ง" ฮายาซกลับมาได้สติเอาอีกทีก็วันที่ 13 มีนาคม(หมดสติไปตั้ง 7วันเชียวนะเนี่ย) ซึ่งพอเขาตื่นมาก็เป็นวันที่ฟินแลนด์กับรัสเซียได้ประกาศสงบศึกกันพอดี หลังจากสงครามสิ้นสุดได้ไม่นานเขาก็ได้รับการเลื่อนยศจากสิบโท(corporal) เป็นร้อยตรี(second lieutenant)

หลายท่านคงจะคิดว่าอะไรมันจะเลื่อน ยศแบบก้าวกระโดดขนาดนั้นเนอะ ผมว่าสงสัยน่าเป็นเพราะผลงานที่เทพสุดๆของเขาชัวร์ๆ โดยฮายาซได้รับยศนี้ จากจอมพล คาร์ล กุฟตาฟ อีมิล แมนเนอร์ไฮม่(Field Marshal Carl Gustaf Emil Mannerheim) จอมพลผู้โด่งดังของฟินแลนด์ผู้บัญชาการป้องกันประเทศ และชื่อของเขาก็ถูกตั้งชื่อเป็นแนวป้องกันประเทศนั้นคือแนวแมนเนอร์ไฮม์นั้น เอง (Mannerheim Line=แมนเนอร์ไฮม์ ไลน์) ทำให้ฮายาซนับเป็นทหารคนแรกของกองทัพฟินแลนด์ ที่ได้ยศแบบข้ามขั้นขนาดนี้โดยที่ไม่มีทหารคนไหนจะเสมอเหมือนได้

http://www.mosinnagant.net/images/Simo-Sign.jpg
ไซโม ฮายาซ ในวัยชราภาพ

ไซโม ฮายาซ สไนเปอร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก

จากการสอบถามฮายาซในปี 1998 ว่าทำยังไงถึงยิงปืนได้แม่น?เขาก็ตอบว่า"มันอยู่ที่การฝึกฝน"(Practice) เมื่อถามว่าเขารู้สึกเสียใจไหมที่ได้เข่นฆ่าผู้คนไปเป็นจำนวนมาก?(คราวนี้ ถามอย่างกับGood Game SF) เขาก็ตอบว่า"ผมทำตามคำสั่งและทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้" ("I did what I was told to as well as I could.") แปลถูกไม่ถูกก็ช่วยๆบอกกันบ้างนะครับ ฮายาซใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆชื่อโรคอลาซติ(Ruokolahti) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฟินแลนด์ซึ่งถัดไปเป็นดินแดนของรัสเซียจนเสียชีวิต อยู่ที่หมู่บ้านนี้นั้นเอง เป็นการปิดฉากชีวิตของเพชรฆาตผู้สังหารทหารรัสเซียไปเป็นจำนวนมากลงอย่างสงบ

สไนเปอร์ อับดับ 2 ของโลก
อิวาน ชิโดเรนโก้ สุดยอดสไนเปอร์แห่งสหภาพโซเวียต

http://www.tanarmy.com/image/Ivan%20Sidorenko/180px-Sidorenko.png

หลังจากผมได้ทำเรื่องของ สไนเปอร์ที่เป็นที่สุดของโลก ไซโม ฮายาซ พลซุ่มยิงชาวฟินแลนด์ไปแล้ว คราวนี้ก็เลยขอทำเรื่องของสไนเปอร์มือวางอันดับสองของโลกบ้าง นั้นคือสไนเปอร์ของสหภาพโซเวียตนั้นเอง ซึ่งคนผู้นี้ก็มียอดสังหารข้าศึกที่ยืนยันแล้วน้อยกว่าซิโมไปเพียงแค่ 42คนเท่านั้นเอง (แล้วไอ้ที่ไม่ยืนยันนี่ไม่รู้อีกตั้งเท่าไหร่ แต่ก็อย่าลืมว่าซิโมเค้าก็นับแค่ยอดที่ยืนยันได้เหมือนกัน ถ้าเอามาแข่งกันซิโมก็ได้ที่หนึ่งอยู่ดี 5555) จากวีรกรรมของเขาทำให้เขาได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นวีรบุรุษแห่งสหภาพ โซเวียต แต่เท่าที่ดูทำไมดังไม่เท่า วาซิลี่ ไซเซฟ ที่เอามาทำเป็นหนังก็ไม่รู้ แถมในกูเกิ้ลผมก็หารูปของเขาได้น้อยมากๆ ดังนั้นผมนายแทนอาร์มี่จึงขอนำวีรกรรมของเขามาให้ชาวไทยได้รับทราบกันครับ

กล่าวนำ

http://www.tanarmy.com/image/Ivan%20Sidorenko/Sidorenko.jpg
อิวาน มิคาลโลวิช ชิโดเรนโก้(Ivan Mikhaylovich Sidorenko) เกิดเมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ.1919 ณ.เมืองสโมเลนสค์(Smolensk) ในสหภาพโซเวียต(ประเทศรัสเซียในปัจจุบัน) ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อกองทัพนาซีเข้ามาเหยียบย่ำแผ่นดินแม่รัสเซีย ขณะนั้นชิโดเรนโก้มียศเป็นนายทหารอยู่ในกองทัพแดง และจากการปฏิบัติการของเขาทำให้ชิโดเรนโก้ได้กลายเป็นหนึ่งในสุดยอดพลซุ่ม ยิง(ซึ่งต่อไปนี้ขอเรียกว่าสไนเปอร์)ของสหภาพโซเวียตในระหว่างสงคราม และมียอดสังหารชีวิตข้าศึกซึ่งได้รับการยืนยันแล้วกว่า 500 ศพ!!!

ช่วงแรกของชีวิต Early years

http://www.tanarmy.com/image/Ivan%20Sidorenko/SmolenskCathedral%20small.jpg

ภาพโบสถ์แห่งเมืองสโมเลนสค์เห็นว่าสวยดีเลยนำมาให้ชม

ชิโดเรนโก้เกิดมาในครอบครัวของชาวชนบท โดยชิโดเรนโก้มีผลการเรียนเป็นอันดับสิบของโรงเรียน(เก่งไหมละนั้น) และต่อมาเขาได้เข้าเรียนในวิทยาลัยศิลปะเพนซา(Penza Art College ว้าว!หัวศิลป์ซะด้วย) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเพนซา(ชื่อก็บอกอยู่แล้ว) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงมอสโคว์ แต่พอถึงปีค.ศ.1939 ชิโดเรนโก้ก็ต้องออกจากวิทยาลัยศิลปะ เพราะโดนหมายเรียกเกณฑ์ทหารให้เข้าไปเป็นทหารเกณฑ์อยู่ในกองทัพแดง ชิโดเรนโก้ได้ถูกฝึกเป็นหทารอยู่ที่โรงเรียนฝึกสอนทหารราบซิมเฟโรพอ ล(Simferopol Military Infantry School) ในแคว้นไครเมีย(Crimea)โน้น เรียกว่าเขาโดนย้ายไปซะไกล แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะประเทศรัสเซียกว้างมากๆนี่หน่า

http://www.tanarmy.com/image/Ivan%20Sidorenko/Penza.jpg

ถนนสายประวัติศาสตร์ในเมืองเพนซาครับ

เข้าประจำการในสงครามโลกครั้งที่สอง World War II service

http://www.tanarmy.com/image/Ivan%20Sidorenko/mortwntr.jpg

หน่วยปืนค.ของโซเวียตในชุดพรางฤดูหนาว

ในปีค.ศ.1941 ชิโดเรนโก้ได้มีโอกาสเข้าร่วมรบในการรบแห่งมอสโคว์(Battle of Moscow) ซึ่งในขณะนั้นชิโดเรนโก้มียศเป็น เรือโท(Junior Lieutenant) ในกองร้อยปืนครก(mortar company)....แล้วมันเกี่ยวกะสไนเปอร์ตรงไหนนี่? อ้าวๆอย่าพึ่งงง สาเหตุมันอยู่ตรงนี้ครับ ในระหว่างการรบนั้นชิโดเรนโก้มักใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนตัวเองในการ ซุ่มยิงข้าศึก(สงสัยจะเบื่อสั่งการยิงปืนค.ละมั้ง 5555) ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเพราะชิโดเรนโก้ประสบความสำเร็จในการล่าทหารเยอรมัน เป็นอย่างยิ่ง ทันใดนั้นเองผู้บังคับบัญชาของชิโดเรนโก้ ก็ได้มีคำสั่งฟ้าผ่าให้เขาไปรับการฝึกฝนเพื่อเป็นพลซุ่มยิงเพิ่มเติมซะ (พูดแบบภาษาเกมส์ออนไลน์ก็คือ เมื่อเอ็งอยากเปลี่ยนคลาสเป็นสไนเปอร์ก็ไปฝึกให้เลเวลอัฟซะไป๊ 5555) คงเป็นเพราะผู้บัญชาการของเขาเล็งเห็นแววสไนเปอร์ในตัวของชิโดเรนโก้ จึงไม่อยากให้ชิโดเรนโก้หมดอนาคต(ว่าไปนั้น) กับการมาเป็นแค่ทหารปืนค.เท่านั้น

http://www.tanarmy.com/image/Ivan%20Sidorenko/ameba.jpg

ชุดพรางลายอะมีบาของสไนเปอร์โซเวียต

สิ่งแรกๆที่ชิโดเรนโก้ได้รับการฝึกก็คือ การทดสอบคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นสไนเปอร์นั้นเอง โดยเริ่มตั้งแต่การวัดสายตา(eyesight) ความรู้เกี่ยวกับอาวุธชนิดต่างๆ(weapons knowledge) และที่สำคัญที่สุดคือความอดทน(endurance) โดยเริ่มแรกนั้นชิโดเรนโก้ได้รับหน้าที่ให้ทำการสอนหลักการซุ่มยิงต่างๆ และกว่าจะได้เข้าสู่ภารกิจจริงก็นานมาก(อดโชว์ความเทพให้โลกรู้ว่างั้น) จนต้องรอให้พวกเจอรี่(เยอรมัน)ส่งสไนเปอร์มาส่องทหารในพื้นที่รับผิด ชอบ(area of operation)ของชิโดเรนโก้ซะก่อน จึงทำให้ชิโดเรนโก้และลูกน้องของเขารู้สึกถึงภัยคุกคามของพวกเจอรี่

http://www.tanarmy.com/image/Ivan%20Sidorenko/Golden%20Star%20medal.jpg

เหรียญกล้าหาญดาวทอง
(Golden Star medal)ที่ชิโดเรนโก้ได้รับ



ต่อมาชิโดเรนโก้จึงได้รับตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยผู้บัญชาการ(assistant commander) แห่งศูนย์บัญชาการกรมทหารปืนยาวที่ 1122(Headquarters of the 1122nd Rifle Regiment) และเขาก็ได้เข้าร่วมรบอยู่ใน แนวหน้าบอลติกที่1(1st Baltic Front) ถึงแม้ว่าหน้าที่โดยหลักของชิโดเรนโก้คือการสอน แต่เมื่อมีโอกาสในสนามรบชิโดเรนโก้มักจะให้ผู้ที่เขาสั่งสอน(trainees)หนึ่ง คนติดตามเขาไปด้วย ซึ่งหนึ่งในการไปท่องเที่ยวหาอันตรายกับพวกเจอรี่ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ชิโดเรนโก้สามารถทำลายรถถังเยอรมันได้หนึ่งคัน และรถแทร็กเตอร์อีกสามคัน ด้วยกระสุนเจาะเกราะเพลิง(incendiary bullets) และก็เพราะการเที่ยวเล่นกับความตายของเขานี่แหละ ที่ทำให้ชิโดเรนโก้ต้องได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง แต่ก็ไม่ยักกะถึงฆาตซะทีหนึ่ง(สงสัยนรกไม่กล้ารับมั้ง 555) ซึ่งครั้งที่สาหัสที่สุดนั้นคือที่เอสโตเนียในปีค.ศ. 1944 บาดแผลในครั้งนี้ทำให้เขาต้องใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดไปกับการรักษาตัวจน สงครามสิ้นสุดลง

http://www.tanarmy.com/image/Ivan%20Sidorenko/Sniper_Rifle_Mosin_1891_30.jpg
ปืนสไนเปอร์ โมซิน-นากังค์ เอ็ม91/30 ติดกล้องเล็งแบบเดียวกับที่ชิโดเรนโก้ใช้

และในระหว่างที่พักฟื้นอยู่นั้น ในวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ.1944 ชิโดเรนโก้ก็ได้รับการประกาศให้เป็นวีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต(Hero of the Soviet Union) และตั้งแต่นั้นชิโดเรนโก้ก็ถูกเบื้องบนสั่งห้ามไม่ให้เข้าสู่สนามรบ อีก(สงสัยคงอยากสงวนชีวิตของชิโดเรนโก้ไว้) แต่เขาก็ได้เป็นผู้ฝึกสอนพลสไนเปอร์รุ่นต่อไปของสหภาพโซเวียต (ถ่ายทอดความเทพอีกนะ 555) และเมื่อสิ้นสุดสงครามชิโดเรนโก้ก็ได้รับเครดิตยืนยันว่าเขามียอดสังหารทหาร ข้าศึกถึงห้าร้อยศพ และยังเป็นผู้ฝึกสอนให้กับทหารมากกว่าสองร้อยคน และพลสไนเปอร์อีกกว่าห้าสิบคน ยศสุดท้ายที่ชิโดเรนโก้ได้รับคือยศพันตรี(Major) นับว่าเขาเป็นพลซุ่มยิงของสหภาพโซเวียตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในสงคราม โลกครั้งที่สอง โดยใช้อาวุธคือปืนซุ่มยิงโมซิน-นากังค์(Mosin-Nagant rifle) ติดศูนย์กล้องเล็ง(telescopic sight) ชิโดเรนโก้จึงเป็นสไนเปอร์ที่มีความสามารถพิเศษกว่าพลซุ่มยิงโซเวียตคนอื่นๆ ทั้งหมด เพราะเขาเป็นสไนเปอร์ที่ใช้ปืนซุ่มยิงติดกล้องเล็งสังหารศัตรูได้เป็นจำนวน มาก(ศพกองเป็นภูเขาเลากา) ซึ่งตรงกันข้ามกับพลซุ่มยิงชาวฟินแลนด์ ซิโม ฮายฮา เพราะซิโมไม่ได้ใช้กล้องเล็งจะใช้ก็แค่ศูนย์เล็งเหล็กเดิมของปืนยาวเท่านั้น แต่ซิโมก็สังหารข้าศึกได้มากกว่าชิโดเรนโก้ไปหน่อยคือ 524 ศพ จึงทำให้ซิโมได้อันดับหนึ่งไป

ชีวิตหลังสงคราม Post-war life

http://www.tanarmy.com/image/Ivan%20Sidorenko/Ural_mountains.jpg

เทือกเขายูราล

หลัง จากสงครามโลกครั้งที่สองได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ชิโดเรนโก้ก็ได้ปลดประจำการออกจากกองทัพแดง และได้ย้ายไปอยู่ที่หน่วยงานบริหารของสหภาพโซเวียตในแคว้นเชเลียบิ นสค์(Chelyabinsk Oblast) ซึ่งตั้งอยู่ในเทือกเขายูราล(Ural Mountains) โดยชิโดเรนโก้ทำงานเป็นหัวหน้าคนงาน(foreman)ในเหมืองแร่(coal mine) พอถึงปีค.ศ.1974 ชิโดเรนโก้ก็ได้ย้ายไปอยู่สาธารณรัฐดาเกสถาน(Republic of Dagestan)ซึ่งตั้งอยู่ในแถบคอเคซัส(Caucasus) ส่วนในปัจจุบันนั้นคาดว่าชิโดเรนโก้น่าจะยังคงมีชีวิตอยู่เพราะในวิกิฯไม่ ได้บอกว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว???

อิวาน ชิโดเรนโก้
เกิด 12 กันยายน ค.ศ.1919
http://www.tanarmy.com/image/Ivan%20Sidorenko/180px-Sidorenko.png
ชิโดเรนโก้วีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต ในชุดเต็มยศบน
อกเสื้อประดับด้วยเหรียญกล้าหาญรูปดาวสีทอง

สถานที่เกิด สโมเลนสค์,รัสเซีย
ปีเข้าประจำการ 1939–1945
ยศ พันตรี
หน่ยวงาน แนวหน้าบอลติกที่1,กรมทหารปืนยาวที่ 1122
การรบ/สงคราม สงครามโลกครั้งที่สอง แนวรบตะวันออก
เหรียญ/รางวัล วีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต เหรียญกล้าหาญดาวทอง
ยอดสังหาร 500ศพ,รถถัง 1คัน,รถแทร็กเตอร์ 3คั

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น