สไนเปอร์ ไทย
สไนเปอร์ โรมาเนีย
สไนเปอร์ยูเครน
โฉมหน้าหน่วยสังหารจากอังกฤษ SAS
สไนเปอร์รัสเซีย
สไนเปอร์อินเดีย
สไนเปอร์เกาหลี
ชายแดนอิรัก
สไนเปอร์รุ่นบุกเบิก
สไนเปอร์จากฟินแลนด์
สไนเปอร์สวิตเซอแลนด์
สไนเปอร์เยอรมัน
วาซิลี ไซเซพ อยู่เกินอันดับ 10 แถม sniper รัสเซีย สงครามเชชเนีย
สไนเปอร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก (อันดับ1ของโลก)
"ไซโม ฮายาซ สไนเปอร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก"
ไซโม ฮายาซระหว่างสงครามฤดูหนาว
ฮายาซกับชุดพรางสีขาวที่ทำให้กลมกลืนกับ ภูมิประเทศที่มีแต่หิมะเป็นอย่างมาก
ไซโม ฮายาซ (17 ธันวาคม 1905-1 เมษายน 2002) ได้รับฉายาจากกองทัพโซเวียตว่า "White Death"=ไวท์ เดธ) เรียกเป็นภาษาไทยได้อย่างเท่ๆว่า "ความตายสีขาว" (ในภาษารัสเซียเรียกว่า Belaya Smert=เบลาย่า สเมิร์ท,ภาษาฟินแลนด์เรียกว่า Valkoinen kuolema=วาลคอยเน็น คูโอเลม่า) เขาเป็นทหารฟินแลนด์ที่ในปัจจุบันยังถกเถียงกันว่าเขาคือพลซุ่มยิงที่ยิ่ง ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ใช่หรือไม่?
ฮายาซเกิดในเขตเทศบาลเลาซ์จา ไว(municipality of Rautjarvi) ซึ่งปัจจุบันเป็นชายแดนของรัสเซียไปแล้ว เขาได้เข้าเป็นทหารในกองทัพเมื่อปี 1925 โดยก่อนหน้านี้เขามีอาชีพเป็นชาวนาหรือเกษตรกร เมื่อสงครามฤดูหนาว(Winter War) ซึ่งเกิดขึ้นจากรัสเซียได้ทำการรุกรานฟินแลนด์ตั้งแต่ปี1939-1940 เริ่มขึ้น เขาก็ได้รับหน้าที่ให้เป็นพลซุ่มยิงเพื่อสังหารทหารกองทัพแดง ในภูมิประเทศที่มีอุณหภูมิหนาวตั้งแต่ -20 ถึง-40องศาเซลเซียล (วัดเป็นองศาฟาเรนไฮต์ก็จะอยู่ที่ระหว่าง -4ถึง-40องศา) โดยฮายาซใส่ชุดพรางหิมะสีขาว เขามียอดสังหารทหารโซเวียตที่ได้รับการยืนยันถึง 542ศพ!
ปืนยาวโมซินนากังค์ เอ็ม28 เมคอินฟินแลนด์กระบอกนี้แหละครับที่เป็นอาวุธซุ่มยิงของฮายาซ
สถิตินี้มาจากกองทัพฟินแลนด์จากสนามรบที่โคลา (battlefield of Kollaa)ซึ่งเป็นสถานที่ฮายาซสามารถสังหารข้าศึกได้เป็นจำนวนมากถึง 542ศพ จากสมุดบันทึกที่โคลาได้กล่าวไว้ว่า "ฮายาซใช้ปืนยาวเอ็ม 28 (Finnish Mosin nagant M28 rifle) ซึ่งเป็นปืนที่ฟินแลนด์ลอกแบบมาจากปืนยาวแบบโมซินนากังค์ของรัสเซีย (Soviet Mosin nagant rifle) รู้จักกันในหมู่ทหารฟินแลนด์ว่า ปืนยาว"พีสตี้คอร์ว่า"("Pystykorva") ซึ่งหมายถึงสุนัขพันธ์สปิทส์(spitz) ฮายาซเป็นคนที่มีรูปร่างเล็กคือมีความสูง 5ฟุต3นิ้ว(1.60เมตร ฝรั่งเขาถือว่าเตื้ยนะ) เขาชอบใช้ศูนย์เล็งเหล็กมาตรฐานของปืน(iron sights) สำหรับยิงเป้าขนาดเล็ก(smaller target) มากกว่าศูนย์แบบกล้องเล็ง(telescopic sights) สาเหตุมาจากเวลาเขาจะใช้กล้องเล็งจะต้องยกศรีษะสูงขึ้น และเขายังบอกว่าการใช้ศูนย์เล็งแบบเปิดนี้จะช่วยปกปิดที่ตั้งของตนเองได้ดี กว่าศูนย์แบบกล้องเล็ง (แสงอาทิตย์ที่ส่องใส่เลนส์ของศูนย์กล้องจะสะท้อนแสงทำให้ถูกพบที่ตั้งของพล ซุ่มยิงได้)
นอกจากเขาจะใช้ปืนยาวในการซุ่มยิงศัตรูแล้ว ฮายาซยังใช้ปืนกลมือซูโอมิ เอ็ม31อันโด่งดังของฟินแลนด์ยิงสังหารทหารรัสเซียไปเป็นจำนวนมากถึงสองร้อย กว่าศพ! ทำให้ยอดสังหารข้าศึกของเขาเพิ่มเป็นถึง 705ศพ!(ยิ่ง เทพเข้าไปใหญ่คนรึเปล่าเนี่ย?) หลังจากทำหน้าที่ในสนามรบมาเป็นเวลากว่า100วัน เขาก็ถูกกระสุนปืนใส่บาดเจ็บ เฉลี่ยแล้วในวันๆหนึ่งเขาจะสังหารศัตรูไป 5ศพ ส่วนใหญ่ฮายาซจะซุ่มยิงตอนกลางวันในฤดูหนาวแทบจะทุกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกกว่าพลซุ่มยิงคนอื่นๆของโลก
อาวุธคู่กายของฮายาซบนคือปืนกลซูโอมิเพชรฆาต 200ศพ ล่างคือปืนยาวเอ็ม28เพชรฆาต 542ศพ
ก่อนที่ฮายาซจะได้รับบาดเจ็บฝ่ายรัสเซียมีแผนที่จะกำจัดเขาให้ได้ ด้วยการใช้พลซุ่มยิง เรียกว่าพลซุ่มยิงก็ต้องจัดการด้วยพลซุ่มยิง(counter snipers=เคาน์เตอร์สไตรค์ เอ้ย! เคาน์เตอร์ สไนเปอร์)เรียกแบบไทยก็คือเพขรตัดเพชรหรือตาต่อต่าฟันต่อฟัน หรืออีกวิธีที่ขี้ขลาดหน่อยก็คือใช้ปืนใหญ่ยิงถล่ม(artillery strikes=อาร์ทิเลอะลี่ สไตรค์) โดยปืนใหญ่รัสเซียชอบใช้กระสุนปืนใหญ่แบบแตกกลางอากาศ(shrapnel=ชรัปเนล) ที่จะระเบิดกลางอากาศแล้วปล่อยลูกเหล็กกลมก้อนเล็กๆพุ่งลงมาเป็นสายฝน โดยโซเวียตน่าจะส่งทหารมาล่อให้ฮายาซยิงเพื่อที่จะได้ทราบตำแหน่งของเขาแล้ว จัดการยิงปืนใหญ่ถล่มใส่ซะ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถเก็บฮายาซได้ แถมเขาก็ไม่เคยโดนกระสุนแบบนี้เลยเรียกว่าไร้รอยแมวข่วน(เทพอีกละ) ส่วนสไนเปอร์ที่ส่งมาเก็บเขาก็ถูกฮายาซเก็บซะเอง
กระสุนปืนใหญ่แบบชนัปเน็ลสังเกตลูกเหล็กกลมเล็กๆ ในกระสุน
พอถึงวันที่ 6 มีนาคม ปี1940 ฮายาซก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บอีกคราวนี้โดนยิงที่ขากรรไกร(jaw=จอ ถ้าคิดไม่ออกว่าตรงไหนก็ให้คิดถึงหนังเรื่องจอ 4ไว้นะครับ) ระหว่างการต่อสู้ในระยะใกล้(close combat) กระสุนพุ่งเข้าไปในหัวด้านซ้ายของเขา ฮายาซถูกหามออกจากสนามรบโดยทหารที่หามเขากล่าวว่า "หัวของเขาหายไปครึ่งหนึ่ง" ฮายาซกลับมาได้สติเอาอีกทีก็วันที่ 13 มีนาคม(หมดสติไปตั้ง 7วันเชียวนะเนี่ย) ซึ่งพอเขาตื่นมาก็เป็นวันที่ฟินแลนด์กับรัสเซียได้ประกาศสงบศึกกันพอดี หลังจากสงครามสิ้นสุดได้ไม่นานเขาก็ได้รับการเลื่อนยศจากสิบโท(corporal) เป็นร้อยตรี(second lieutenant)
หลายท่านคงจะคิดว่าอะไรมันจะเลื่อน ยศแบบก้าวกระโดดขนาดนั้นเนอะ ผมว่าสงสัยน่าเป็นเพราะผลงานที่เทพสุดๆของเขาชัวร์ๆ โดยฮายาซได้รับยศนี้ จากจอมพล คาร์ล กุฟตาฟ อีมิล แมนเนอร์ไฮม่(Field Marshal Carl Gustaf Emil Mannerheim) จอมพลผู้โด่งดังของฟินแลนด์ผู้บัญชาการป้องกันประเทศ และชื่อของเขาก็ถูกตั้งชื่อเป็นแนวป้องกันประเทศนั้นคือแนวแมนเนอร์ไฮม์นั้น เอง (Mannerheim Line=แมนเนอร์ไฮม์ ไลน์) ทำให้ฮายาซนับเป็นทหารคนแรกของกองทัพฟินแลนด์ ที่ได้ยศแบบข้ามขั้นขนาดนี้โดยที่ไม่มีทหารคนไหนจะเสมอเหมือนได้
ไซโม ฮายาซ ในวัยชราภาพ
ไซโม ฮายาซ สไนเปอร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก
จากการสอบถามฮายาซในปี 1998 ว่าทำยังไงถึงยิงปืนได้แม่น?เขาก็ตอบว่า"มันอยู่ที่การฝึกฝน"(Practice) เมื่อถามว่าเขารู้สึกเสียใจไหมที่ได้เข่นฆ่าผู้คนไปเป็นจำนวนมาก?(คราวนี้ ถามอย่างกับGood Game SF) เขาก็ตอบว่า"ผมทำตามคำสั่งและทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้" ("I did what I was told to as well as I could.") แปลถูกไม่ถูกก็ช่วยๆบอกกันบ้างนะครับ ฮายาซใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆชื่อโรคอลาซติ(Ruokolahti) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฟินแลนด์ซึ่งถัดไปเป็นดินแดนของรัสเซียจนเสียชีวิต อยู่ที่หมู่บ้านนี้นั้นเอง เป็นการปิดฉากชีวิตของเพชรฆาตผู้สังหารทหารรัสเซียไปเป็นจำนวนมากลงอย่างสงบ
สไนเปอร์ อับดับ 2 ของโลก
อิวาน ชิโดเรนโก้ สุดยอดสไนเปอร์แห่งสหภาพโซเวียต
หลังจากผมได้ทำเรื่องของ สไนเปอร์ที่เป็นที่สุดของโลก ไซโม ฮายาซ พลซุ่มยิงชาวฟินแลนด์ไปแล้ว คราวนี้ก็เลยขอทำเรื่องของสไนเปอร์มือวางอันดับสองของโลกบ้าง นั้นคือสไนเปอร์ของสหภาพโซเวียตนั้นเอง ซึ่งคนผู้นี้ก็มียอดสังหารข้าศึกที่ยืนยันแล้วน้อยกว่าซิโมไปเพียงแค่ 42คนเท่านั้นเอง (แล้วไอ้ที่ไม่ยืนยันนี่ไม่รู้อีกตั้งเท่าไหร่ แต่ก็อย่าลืมว่าซิโมเค้าก็นับแค่ยอดที่ยืนยันได้เหมือนกัน ถ้าเอามาแข่งกันซิโมก็ได้ที่หนึ่งอยู่ดี 5555) จากวีรกรรมของเขาทำให้เขาได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นวีรบุรุษแห่งสหภาพ โซเวียต แต่เท่าที่ดูทำไมดังไม่เท่า วาซิลี่ ไซเซฟ ที่เอามาทำเป็นหนังก็ไม่รู้ แถมในกูเกิ้ลผมก็หารูปของเขาได้น้อยมากๆ ดังนั้นผมนายแทนอาร์มี่จึงขอนำวีรกรรมของเขามาให้ชาวไทยได้รับทราบกันครับ
กล่าวนำ
อิวาน มิคาลโลวิช ชิโดเรนโก้(Ivan Mikhaylovich Sidorenko) เกิดเมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ.1919 ณ.เมืองสโมเลนสค์(Smolensk) ในสหภาพโซเวียต(ประเทศรัสเซียในปัจจุบัน) ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อกองทัพนาซีเข้ามาเหยียบย่ำแผ่นดินแม่รัสเซีย ขณะนั้นชิโดเรนโก้มียศเป็นนายทหารอยู่ในกองทัพแดง และจากการปฏิบัติการของเขาทำให้ชิโดเรนโก้ได้กลายเป็นหนึ่งในสุดยอดพลซุ่ม ยิง(ซึ่งต่อไปนี้ขอเรียกว่าสไนเปอร์)ของสหภาพโซเวียตในระหว่างสงคราม และมียอดสังหารชีวิตข้าศึกซึ่งได้รับการยืนยันแล้วกว่า 500 ศพ!!!
ช่วงแรกของชีวิต Early years
ภาพโบสถ์แห่งเมืองสโมเลนสค์เห็นว่าสวยดีเลยนำมาให้ชม
ชิโดเรนโก้เกิดมาในครอบครัวของชาวชนบท โดยชิโดเรนโก้มีผลการเรียนเป็นอันดับสิบของโรงเรียน(เก่งไหมละนั้น) และต่อมาเขาได้เข้าเรียนในวิทยาลัยศิลปะเพนซา(Penza Art College ว้าว!หัวศิลป์ซะด้วย) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเพนซา(ชื่อก็บอกอยู่แล้ว) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงมอสโคว์ แต่พอถึงปีค.ศ.1939 ชิโดเรนโก้ก็ต้องออกจากวิทยาลัยศิลปะ เพราะโดนหมายเรียกเกณฑ์ทหารให้เข้าไปเป็นทหารเกณฑ์อยู่ในกองทัพแดง ชิโดเรนโก้ได้ถูกฝึกเป็นหทารอยู่ที่โรงเรียนฝึกสอนทหารราบซิมเฟโรพอ ล(Simferopol Military Infantry School) ในแคว้นไครเมีย(Crimea)โน้น เรียกว่าเขาโดนย้ายไปซะไกล แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะประเทศรัสเซียกว้างมากๆนี่หน่า
ถนนสายประวัติศาสตร์ในเมืองเพนซาครับ
เข้าประจำการในสงครามโลกครั้งที่สอง World War II service
หน่วยปืนค.ของโซเวียตในชุดพรางฤดูหนาว
ในปีค.ศ.1941 ชิโดเรนโก้ได้มีโอกาสเข้าร่วมรบในการรบแห่งมอสโคว์(Battle of Moscow) ซึ่งในขณะนั้นชิโดเรนโก้มียศเป็น เรือโท(Junior Lieutenant) ในกองร้อยปืนครก(mortar company)....แล้วมันเกี่ยวกะสไนเปอร์ตรงไหนนี่? อ้าวๆอย่าพึ่งงง สาเหตุมันอยู่ตรงนี้ครับ ในระหว่างการรบนั้นชิโดเรนโก้มักใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนตัวเองในการ ซุ่มยิงข้าศึก(สงสัยจะเบื่อสั่งการยิงปืนค.ละมั้ง 5555) ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเพราะชิโดเรนโก้ประสบความสำเร็จในการล่าทหารเยอรมัน เป็นอย่างยิ่ง ทันใดนั้นเองผู้บังคับบัญชาของชิโดเรนโก้ ก็ได้มีคำสั่งฟ้าผ่าให้เขาไปรับการฝึกฝนเพื่อเป็นพลซุ่มยิงเพิ่มเติมซะ (พูดแบบภาษาเกมส์ออนไลน์ก็คือ เมื่อเอ็งอยากเปลี่ยนคลาสเป็นสไนเปอร์ก็ไปฝึกให้เลเวลอัฟซะไป๊ 5555) คงเป็นเพราะผู้บัญชาการของเขาเล็งเห็นแววสไนเปอร์ในตัวของชิโดเรนโก้ จึงไม่อยากให้ชิโดเรนโก้หมดอนาคต(ว่าไปนั้น) กับการมาเป็นแค่ทหารปืนค.เท่านั้น
ชุดพรางลายอะมีบาของสไนเปอร์โซเวียต
สิ่งแรกๆที่ชิโดเรนโก้ได้รับการฝึกก็คือ การทดสอบคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นสไนเปอร์นั้นเอง โดยเริ่มตั้งแต่การวัดสายตา(eyesight) ความรู้เกี่ยวกับอาวุธชนิดต่างๆ(weapons knowledge) และที่สำคัญที่สุดคือความอดทน(endurance) โดยเริ่มแรกนั้นชิโดเรนโก้ได้รับหน้าที่ให้ทำการสอนหลักการซุ่มยิงต่างๆ และกว่าจะได้เข้าสู่ภารกิจจริงก็นานมาก(อดโชว์ความเทพให้โลกรู้ว่างั้น) จนต้องรอให้พวกเจอรี่(เยอรมัน)ส่งสไนเปอร์มาส่องทหารในพื้นที่รับผิด ชอบ(area of operation)ของชิโดเรนโก้ซะก่อน จึงทำให้ชิโดเรนโก้และลูกน้องของเขารู้สึกถึงภัยคุกคามของพวกเจอรี่
เหรียญกล้าหาญดาวทอง
(Golden Star medal)ที่ชิโดเรนโก้ได้รับ
ต่อมาชิโดเรนโก้จึงได้รับตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยผู้บัญชาการ(assistant commander) แห่งศูนย์บัญชาการกรมทหารปืนยาวที่ 1122(Headquarters of the 1122nd Rifle Regiment) และเขาก็ได้เข้าร่วมรบอยู่ใน แนวหน้าบอลติกที่1(1st Baltic Front) ถึงแม้ว่าหน้าที่โดยหลักของชิโดเรนโก้คือการสอน แต่เมื่อมีโอกาสในสนามรบชิโดเรนโก้มักจะให้ผู้ที่เขาสั่งสอน(trainees)หนึ่ง คนติดตามเขาไปด้วย ซึ่งหนึ่งในการไปท่องเที่ยวหาอันตรายกับพวกเจอรี่ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ชิโดเรนโก้สามารถทำลายรถถังเยอรมันได้หนึ่งคัน และรถแทร็กเตอร์อีกสามคัน ด้วยกระสุนเจาะเกราะเพลิง(incendiary bullets) และก็เพราะการเที่ยวเล่นกับความตายของเขานี่แหละ ที่ทำให้ชิโดเรนโก้ต้องได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง แต่ก็ไม่ยักกะถึงฆาตซะทีหนึ่ง(สงสัยนรกไม่กล้ารับมั้ง 555) ซึ่งครั้งที่สาหัสที่สุดนั้นคือที่เอสโตเนียในปีค.ศ. 1944 บาดแผลในครั้งนี้ทำให้เขาต้องใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดไปกับการรักษาตัวจน สงครามสิ้นสุดลง
ปืนสไนเปอร์ โมซิน-นากังค์ เอ็ม91/30 ติดกล้องเล็งแบบเดียวกับที่ชิโดเรนโก้ใช้
และในระหว่างที่พักฟื้นอยู่นั้น ในวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ.1944 ชิโดเรนโก้ก็ได้รับการประกาศให้เป็นวีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต(Hero of the Soviet Union) และตั้งแต่นั้นชิโดเรนโก้ก็ถูกเบื้องบนสั่งห้ามไม่ให้เข้าสู่สนามรบ อีก(สงสัยคงอยากสงวนชีวิตของชิโดเรนโก้ไว้) แต่เขาก็ได้เป็นผู้ฝึกสอนพลสไนเปอร์รุ่นต่อไปของสหภาพโซเวียต (ถ่ายทอดความเทพอีกนะ 555) และเมื่อสิ้นสุดสงครามชิโดเรนโก้ก็ได้รับเครดิตยืนยันว่าเขามียอดสังหารทหาร ข้าศึกถึงห้าร้อยศพ และยังเป็นผู้ฝึกสอนให้กับทหารมากกว่าสองร้อยคน และพลสไนเปอร์อีกกว่าห้าสิบคน ยศสุดท้ายที่ชิโดเรนโก้ได้รับคือยศพันตรี(Major) นับว่าเขาเป็นพลซุ่มยิงของสหภาพโซเวียตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในสงคราม โลกครั้งที่สอง โดยใช้อาวุธคือปืนซุ่มยิงโมซิน-นากังค์(Mosin-Nagant rifle) ติดศูนย์กล้องเล็ง(telescopic sight) ชิโดเรนโก้จึงเป็นสไนเปอร์ที่มีความสามารถพิเศษกว่าพลซุ่มยิงโซเวียตคนอื่นๆ ทั้งหมด เพราะเขาเป็นสไนเปอร์ที่ใช้ปืนซุ่มยิงติดกล้องเล็งสังหารศัตรูได้เป็นจำนวน มาก(ศพกองเป็นภูเขาเลากา) ซึ่งตรงกันข้ามกับพลซุ่มยิงชาวฟินแลนด์ ซิโม ฮายฮา เพราะซิโมไม่ได้ใช้กล้องเล็งจะใช้ก็แค่ศูนย์เล็งเหล็กเดิมของปืนยาวเท่านั้น แต่ซิโมก็สังหารข้าศึกได้มากกว่าชิโดเรนโก้ไปหน่อยคือ 524 ศพ จึงทำให้ซิโมได้อันดับหนึ่งไป
ชีวิตหลังสงคราม Post-war life
เทือกเขายูราล
หลัง จากสงครามโลกครั้งที่สองได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ชิโดเรนโก้ก็ได้ปลดประจำการออกจากกองทัพแดง และได้ย้ายไปอยู่ที่หน่วยงานบริหารของสหภาพโซเวียตในแคว้นเชเลียบิ นสค์(Chelyabinsk Oblast) ซึ่งตั้งอยู่ในเทือกเขายูราล(Ural Mountains) โดยชิโดเรนโก้ทำงานเป็นหัวหน้าคนงาน(foreman)ในเหมืองแร่(coal mine) พอถึงปีค.ศ.1974 ชิโดเรนโก้ก็ได้ย้ายไปอยู่สาธารณรัฐดาเกสถาน(Republic of Dagestan)ซึ่งตั้งอยู่ในแถบคอเคซัส(Caucasus) ส่วนในปัจจุบันนั้นคาดว่าชิโดเรนโก้น่าจะยังคงมีชีวิตอยู่เพราะในวิกิฯไม่ ได้บอกว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว???
อิวาน ชิโดเรนโก้
เกิด 12 กันยายน ค.ศ.1919
ชิโดเรนโก้วีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต ในชุดเต็มยศบน
อกเสื้อประดับด้วยเหรียญกล้าหาญรูปดาวสีทอง
สถานที่เกิด สโมเลนสค์,รัสเซีย
ปีเข้าประจำการ 1939–1945
ยศ พันตรี
หน่ยวงาน แนวหน้าบอลติกที่1,กรมทหารปืนยาวที่ 1122
การรบ/สงคราม สงครามโลกครั้งที่สอง แนวรบตะวันออก
เหรียญ/รางวัล วีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต เหรียญกล้าหาญดาวทอง
ยอดสังหาร 500ศพ,รถถัง 1คัน,รถแทร็กเตอร์ 3คั
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น